ประเทศเวียดนามมีเมืองหลวงคือเมืองฮานอย ทริปนี้จะเดินทางไปเที่ยวที่ดานัง หรือ ด่าหนัง (Danang) ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญของเวียดนามกลางตอนใต้ ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลจีนใต้ ระยะเวลาในการเดินทางจากกรุงเทพฯ ประเทศไทยไปเมืองดานังใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง ลักษณะภูมิประเทศของเวียดนามเป็นประเทศที่มีลักษณะเป็นแนวยาว และ มีภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงกั้นระหว่างที่ราบลุ่ม มีแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ทั้งทางตอนเหนือและตอนใต้ โดยมีอาณาเขตทางทิศเหนือติดกับประเทศจีน อาณาเขตทางทิศตะวันตกติดกับประเทศลาว และอาณาเขตทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ติดกับกัมพูชา หน่วยเงินที่ใช้ในประเทศเวียดนามคือ เงินดง (Dong) สำหรับนักท่องเที่ยวคนไทยมาเที่ยวเวียดนามได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า และอยู่ในเวียดนามได้ถึง 30 วัน
ทริปนี้เดินทางไปดานังในช่วงวันที่ 10-12 ธันวาคม 2565 ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์ ทริปนี้เกิดขึ้นเนื่องจาก 2 ปีที่แล้วก่อนเกิดสถานการณ์โรคโควิดระบาดเคยจองโรงแรม Mercure Danang French Village Bana Hills เอาไว้และเกิดสถานการณ์โควิดระบาดอย่างรุนแรงขึ้นทั่วโลกทำให้ไม่สามารถเดินทางไปเที่ยวได้ จึงติดต่อโรงแรมเพื่อขอเปลี่ยนวันเข้าพักและขอเปลี่ยนมาหลายครั้ง จนถึงตอนนี้ที่สถานการณ์เริ่มกลับมาปกติแล้วสามารถเดินทางได้ จึงได้ตัดสินใจมาเที่ยวในครั้งนี้เพราะกลัวว่าทางโรงแรมจะไม่ให้เลื่อนวันออกไปแล้ว
สถานที่เที่ยวหลักๆ ที่เราจะไปคือ เมืองดานัง หมู่บ้านฝรั่งเศสบานาฮิลล์ และฮอยอัน โดยคืนแรกจะพักที่ โรงแรม Mercure Danang French Village Bana Hills และคืนที่สองจะพักที่ฮอยอัน ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ โดยสายการบินไทยเวียตเจ็ท ราคาไปกลับ 5,700 บาท ในไฟลท์เช้าวันที่ 10/12/22 เวลา 7.30 น. ไปถึงที่สนามบินดานังประมาณ 9.10 น. และขากลับ วันที่ 12/12/22 เวลา 10.10 – 11.50 น. มีเวลาเที่ยว 2 วันแบบเต็มวัน ก่อนขึ้นเครื่องเราแวะมาใช้บริการเลาจ์มิลาเคิลที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อทานมื้อเช้าก่อนออกเดินทาง โดยใช้สิทธิประโยชน์ของบัตรเครดิตซิตี้พรีเมียร์ในการเข้าใช้บริการ ซึ่งสามารถใช้บริการได้ 2 ครั้งต่อปี
เครื่องบินมาถึงสนามบินดานังตรงเวลาไม่ดีเลย์ บรรยากาศเมื่อมาถึงที่สนามบินดานังมีหมอกบางๆ ฟ้าครึ้มเนื่องจากเป็นช่วงหน้าฝน แต่ช่วงเช้าที่มาถึงไม่มีฝนตก ก่อนเข้าเมืองต้องผ่านตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งในวันที่มามีผู้โดยสารจำนวนมากที่รอคิวในขั้นตอนการผ่าน ต.ม. และนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวคนไทย เมื่อถึงคิวไปที่เคาน์เตอร์ เจ้าหน้าที่ ต.ม. ให้ยื่นเพียงพาสปอร์ตเพียงอย่างเดียว ไม่ต้องแสดงผลวัคซีน ไม่ต้องแสดงอะไรเกี่ยวกับโรคโควิด ก็สามารถผ่านเข้าประเทศได้อย่างง่าย
เมื่อผ่านเข้าประเทศมาแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำคือซื้อซิมโทรศัพท์สำหรับใช้อินเตอร์เน็ต เมื่อออกมาจาก ต.ม. จะมีร้านขายซิมอินเตอร์เน็ตอยู่ประมาณ 4 ร้าน อยู่ทางซ้ายมือตรงข้ามป้าย Welcome to Danang เราเลือกสุ่มใช้บริการของ Vinaphone ในราคา 250,000 ดง เป็นแบบใช้อินเตอร์เน็ตไม่จำกัด และสามารถโทรฟรีเบอร์โทรในประเทศเวียดนามได้
เมื่อจัดการซิมโทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว สถานที่แรกที่เริ่มต้นในเมืองดานังคือที่ ตลาด Han Market เราใช้ Grab ในการเดินทาง เลือกใช้ Grab bike ไปที่ตลาดฮาน เพราะไม่ไกลเพียง 3.55 กิโลเมตร ได้สัมผัสบรรยากาศการเดินทางแบบคนท้องถิ่น ค่าเดินทางจากสนามบินดานังโดย Grab bike ราคา 25,000 ดง ก็ประมาณ 35 บาทไทย จุดขึ้น Grab bike ที่สนามบินดานังเมื่อเดินออกจากอาคารแล้วต้องเดินไปทางด้านขวามือ เดินตรงไปด้านหน้าอาคารผู้โดยสารภายในประเทศซึ่งเป็นจุดจอดมอเตอร์ไซด์ เพราะ Grab bike จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาภายในสนามบิน การจ่ายเงินค่าบริการ Grab ใช้วิธีการตัดบัตรเครดิต เพราะจะได้ไม่มีปัญหาในการจ่ายเงิน การนั่งมอเตอร์ไซด์เข้าเมือง ทำให้เห็นได้ชัดว่าเมืองดานังเป็นเมืองใหญ่ที่ดูเจริญมาก ถนนดูเป็นระเบียบ การนั่งมอเตอร์ไซด์ในเวียดนามก็ไม่ได้น่ากลัว แต่จะได้ยินเสียงบีบแตรตลอดเวลา เพราะเป็นวัฒนธรรมการขับรถของคนที่นั่น
เรามาที่ตลาดฮานเป็นที่แรกเพราะจะไม่เดินทางย้อนกลับมาในเมืองดานังอีก และจุดตลาด Han เป็นจุดศูนย์กลางที่อยู่ใกล้สะพานมังกร หรือถ้าจะไปโบสถ์ชื่อดังของเวียดนามก็อยู่ไม่ไกล ตลาดฮานเป็นแหล่งซื้อขายของฝากต่างๆ และชุดอ่าวหยาย (ชุดประจำชาติเวียดนาม) ซึ่งบรรยากาศในตลาดฮานเหมือนกับตลาดกิมหยงหาดใหญ่ของไทย การซื้อของที่ตลาดฮานต้องต่อรองราคากับแม่ค้า ชุดอ่าวหยายที่ตลาดฮานมีให้เลือกมากมายหลายแบบทั้งแบบตัดไว้สำเร็จรูป หรือจะตัดชุดใหม่ก็ได้ มีให้เลือกหลายร้านมาก เราเดินดูชุดอ่าวหยายไปเรื่อยๆ ต่อรองราคากับแม่ค้าสนุกดี แม่ค้าทุกร้านจะดึงมือและไม่ยอมให้ออกจากร้านไปง่ายๆ ราคาของชุดอ่าวหยายแบบสำเร็จรูปรวมกางเกงจะอยู่ที่ราคา 300-400 บาทไทย การพูดคุยราคากับแม่ค้าต้องพูดให้ชัดเจนเพราะแม่ค้าบางคนจะพูดไทยสามร้อย แต่หมายถึงเงินด่ง และบางร้านก็ให้ราคาตามที่ต่อรองแต่ไม่มีกางเกงรวมมาให้ ต้องระวังในจุดนี้ด้วย
ออกจากตลาดฮานมา เดินสำรวจไปทั่วๆ บริเวณตลาดสามารถมองเห็นสะพานมังกร มองเห็นโบสถ์ ตลาดฮานตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำเหมือนแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งตลาดฮานจะเป็นฝั่งหางมังกร ซึ่งมีร้านค้าร้านอาหาร ร้านกาแฟ ธนาคาร
เดินมาเจอร้านกาแฟร้านหนึ่งอยู่ตรงข้ามตลาดฮาน เราสั่งกาแฟมะพร้าวคัสตาร์ดไข่ รสชาติดีหอมหวานกลิ่นมะพร้าว นั่งพักดื่มกาแฟที่ร้านอยู่พักนึง ก็ออกเดินทางโดยใช้ Grab bike ไปที่ห้าง GO หรือ Big C Danang ค่าเดินทาง 14,000 ดง (ประมาณ 20 บาท) ระยะทางจากตลาดฮานไป Big C เพียง 1.33 กิโลเมตร เพื่อไปซื้อของฝาก เราไม่ได้ซื้อของฝากที่ตลาดฮาน เพราะเคยอ่านเจอแล้วมีคนแนะนำให้ไปซื้อที่ Big C จะได้ราคามาตรฐานมากกว่า ของฝากขึ้นชื่อจะมี เยลลี่มะม่วง กาแฟมะพร้าว กาแฟขี้ชะมด ฯลฯ เมื่อช้อปปิ้งเสร็จเราตัดสินใจเดินทางกลับมาที่ตลาดฮานอีกครั้ง เดินรอบๆ ที่ตลาดฮานจนเพียงพอแล้ว ก็ออกเดินทางไปที่ โรงแรม Mercure Danang French Village Bana Hills ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักในการเดินทางมาเที่ยวดานังในครั้งนี้
จากตลาดฮานไปบานาฮิลล์ (Bana Hills French Village) ระยะทางประมาณ 24 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 45 นาที การขับรถในเวียดนามกฏหมายห้ามใช้ความเร็วเกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เราเรียกใช้บริการ Grab Car ราคา 321,000 ดง (ประมาณ 480 บาท) เส้นทางไปที่บานาฮิลล์ มีฝนตกปรอยๆ ตลอดเส้นทางถนนดีมาก มีรถน้อย การขับรถในเวียดนามจะขับทางด้านขวามือ ซึ่งต่างกับประเทศไทยที่ขับทางด้านซ้ายมือ
เรามาถึง Sun World Ba Na Hills ประมาณบ่ายสองโมง อากาศตอนที่มาถึงมีฝนตกปรอยๆ Grab Car มาส่งเราที่ลานจอดรถด้านหน้าทางเข้า Sun World Ba Na Hills เพราะเรากดปลายทางไว้ที่นี่ (ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าพักที่ โรงแรม Mercure Danang French Village Bana Hills ต้องกดระบุปลายทางไปที่ด้านหน้า Receiption ของโรงแรม) ข้อดีที่มาลงรถที่ด้านหน้าตรงลานจอดรถก็คือ ระหว่างทางเดินเข้าไปด้านใน Sun World Ba Na Hills จะมีมุมที่ตกแต่งไว้สวยงามแบบเมืองเก่าฮอยอัน ซึ่งมีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปเยอะ
เดินไปจนถึงจุดที่จะขึ้นกระเช้าแจ้งพนักงานว่าจองเข้าพักของ โรงแรม Mercure Danang French Village Bana Hills จะมีพนักงานมารับและไปส่งยังจุดเช็คอินของโรงแรม เมื่อเช็คอินแล้วจะได้เอกสารพร้อมตั๋วสำหรับขึ้นกระเช้า 1 ใบเพื่อขึ้นไปด้านบนบานาฮิลล์ ตั๋วใช้สำหรับขาขึ้นและขากลับ ยื่นเพียงครั้งเดียว ห้องพักของเราที่จองไว้เป็นแบบ Family room พักได้ 4 คน (ตอนจองครั้งแรกจะไปเที่ยวกัน 3 คนเลยจองห้องนี้) ห้องนี้รวมค่ากระเช้าฟรี 2 คน และรวมอาหารเช้า สามารถเช็คอินได้ตั้งแต่เวลา 14.00 น. และเวลาเช็คเอ้าท์คือ 10.30 น.
จุดขึ้นกระเช้าสำหรับแขกที่มาพักที่โรงแรมอยู่ทางด้านซ้ายมือจากจุดเช็คอิน ไม่ต้องรอคิวเมื่อยื่นตั๋วสำหรับขึ้นกระเช้าให้พนักงานก็ได้ขึ้นกระเช้าเลย
เมื่อได้ขึ้นกระเช้าแล้ว กระเช้าค่อยๆ เคลื่อนไปวิวแรกที่จะได้เห็นเมื่อขึ้นกระเช้าคือน้ำตกไหลผ่านภูเขาอยู่ด้านล่าง และเมื่อกระเช้าเคลื่อนผ่านน้ำตกไปได้สักระยะนึง หมอกก็ค่อยๆหนาขึ้นๆ จนหมอกหนามองไม่เห็นวิวอะไร เลยทำให้การนั่งกระเช้าไม่น่ากลัวทั้งๆ ที่เราเป็นคนกลัวความสูง เส้นทางนั่งกระเช้าไปบานาฮิลล์นั้นเป็นเส้นทางกระเช้าที่ยาวที่สุดในโลก ใช้เวลานั่งกระเช้าขึ้นไปประมาณ 20 นาที ก็ไปถึงปลายทาง
เมื่อออกจากกระเช้า แล้วเดินออกไปตามทางเดินจะเจอจุดศูนย์กลางของบานาฮิลล์คือวงเวียน Sun World ช่วงที่มาถึงบนบานาฮิลล์ฝนหยุดตกแล้วแต่รอบๆ บริเวณบานาฮิลล์หมอกยังคงหนามาก เมื่อเดินออกมาเจอวงเวียน Sun World เจอกับนักท่องเที่ยว และทัวร์ต่าง ๆ จำนวนมากอยู่เต็มลานพื้นที่ จากนั้นเดินไปทางขวามือไปยังจุดเช็คอินของโรงแรมที่อาคาร HOTEL DE PARIS ยื่นเอกสารที่รับมาจากจุดเช็คอินด้านล่างให้กับพนักงานอีกครั้งเพื่อรับคีย์การ์ดเข้าห้องพัก และคูปองอาหารเช้า ช่วงที่มาถึงมีลูกค้าซึ่งเป็นทัวร์ของคนไทยรอเช็คอินอยู่จำนวนมาก
เมื่อเช็คอินเสร็จแล้วพนักงานจะยื่นคีย์การ์ดและคูปองอาหารเช้ามาให้ และชี้แจงเวลาทานอาหารเช้า และห้องอาหาร ห้องที่เราพักมาทานอาหารเช้าที่ HOTEL DE PARIS ซึ่งคืออาคารที่เช็คอินนี่เอง รอสักพักนึงก็จะมีพนักงานมารับไปอาคารที่พัก อาคารที่ได้พักคืออาคาร HOTEL DE BORDEAUX
บนบานาฮิลล์การก่อสร้างทุกอย่างออกแบบให้มีบรรยากาศเหมือนอยู่ฝรั่งเศส โรงแรม Mercure Danang French Village Bana Hills มีชื่ออาคารเข้าพักแต่ละอาคารก็จะเป็นชื่อเมืองของฝรั่งเศส ซึ่งจะมี
- HOTEL DE PARIS
- HOTEL DE MARSEILLE
- HOTEL DE LYON
- HOTEL DE NICE
- HOTEL DE TOULOUSE
- HOTEL DE BORDEAUX
- HOTEL DE STRASBOURG
HOTEL DE BORDEAUX ROOM 6205 Family room ภายในห้องพักเป็นเตียง 2 ชั้น สามารถเข้าพักได้ถึง 4 คน มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่มีแอร์ แต่มีฮีตเตอร์ มีร่มไว้ให้ 2 คัน มีเครื่องทำน้ำอุ่น สำหรับปลั๊กไฟของที่นี่นั้นเหมือนปลั๊กไฟที่เมืองไทย สามารถชาร์จโทรศัพท์ได้
เมื่อเข้าที่พักและเก็บของเรียบร้อยแล้ว ก็เดินออกมาสำรวจรอบๆ หมอกยังคงหนามาก บนบานาฮิลล์มีร้านค้า ร้านอาหาร มีเครื่องเล่นต่างๆ สามารถเล่นได้ฟรี แต่วันที่เราไปเนื่องจากฝนตกหมอกหนาไม่สามารถเล่นเครื่องเล่นต่างๆ ได้ ช่วงที่มาเป็นช่วงใกล้เทศกาลคริสต์มาส ที่บานาฮิลล์ถูกประดับตกแต่งด้วยทีมของเทศกาลคริสต์มาส เพิ่มสีสันในการถ่ายรูป
จากด้านหน้า HOTEL DE PARIS เดินตรงไปทางด้านซ้ายมือ ตรงไปยังอาคาร DE MARSEILLE ไปยังจุดขึ้นกระเช้าเพื่อไปยังสะพานมือซึ่งเป็นจุดไฮไลท์ของบานาฮิลล์ ระหว่างนี้ฝนก็ยังคงตกปรอยๆ และหมอกก็เริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ จนแทบมองไม่เห็นอะไร แต่สำหรับเราค่อนข้างชอบบรรยากาศแบบนี้ซึ่งมีหมอกหนาๆ ดูสวยและโรแมนติก
เมื่อมาถึงที่สะพานมือ ฝนเริ่มตกหนักขึ้นก็เลยยังไม่ได้ถ่ายรูปคู่กับสะพานมือ ต้องตัดสินใจกลับเพราะกระเช้าขากลับใกล้หมดเวลา ค่อยมาใหม่ในตอนเช้าอีกครั้ง และกลับมาทานอาหารมื้อเย็น
อาหารมื้อเย็นของวันนี้ BBQ ไม้ละ 100,000 ดง และ ลองชิมเบียร์เวียดนามกระป๋องละ 40,000 ดง
ในตอนค่ำเมื่อทางโรงแรมเริ่มเปิดไฟประดับประดา ยิ่งทำให้บรรยากาศดูสวยโรแมนติกมากขึ้นไปอีก นักท่องเที่ยวที่พักในโรงแรมต่างออกมาพากันมาถ่ายรูปเดินชมบรรยากาศยามค่ำคืน ช่วงกลางคืนเป็นช่วงที่ดีมากที่ โรงแรม Mercure Danang French Village Bana Hills เพราะจะมีเพียงแขกที่เข้าพัก ผู้คนไม่พลุกพล่านวุ่นวายเหมือนตอนกลางวัน
เช้าวันรุ่งขึ้นฝนก็ยังคงตกปรอยๆ เราเลยไปทานอาหารเช้าก่อนที่จะไปสะพานมือ ห้องอาหารที่ HOTEL DE PARIS เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 6.30 – 9.30 น. เราไปถึงห้องอาหารตั้งแต่ 6.30 น. เป็นแขกกลุ่มแรกๆ ของห้องอาหาร ซึ่งเป็นความโชคดีที่มาเร็ว เพราะหลังจากนั้นประมาณ 20 นาที แขกที่เข้าพักเป็นคณะทัวร์ต่างๆ ก็เริ่มทยอยมาใช้บริการกันจนคนเริ่มเยอะขึ้น
อาหารเช้าที่ โรงแรม Mercure Danang French Village Bana Hills มีให้เลือกมากมายหลายอย่างทั้งอาหารฝรั่ง อาหารเวียดนาม สลัดต่างๆ โจ๊ก ขนมปัง ผลไม้ ขนมหวาน ห้องอาหารกว้าง และอาหารละลานตามาก
ทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ก็เดินทางไปที่สะพานมืออีกครั้ง เช้าวันนี้ฝนก็คงยังตกปรอยๆ แต่ไม่หนักมาก และหมอกก็ยังคงหนามากเหมือนเดิม ข้อดีของการพักบนบานาฮิลล์คือช่วงเช้านักท่องเที่ยวยังไม่สามารถขึ้นมาได้มีเพียงแขกที่เข้าพัก คนก็จะยังไม่เยอะ เราไปถึงที่สะพานมือ มีคนมายืนถ่ายรูปเพียงไม่กี่คน ทำให้ถ่ายรูปได้แบบไม่ติดคนอื่นๆ
เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม แล้วสามารถนั่งกระเช้าลงไปด้านล่างได้เลยโดยไม่ต้องยื่นตั๋วอีก ลงกลับมา ณ จุดเช็คอินครั้งแรก เราเรียก Grab Car เพื่อไปที่ฮอยอันต่อ เมื่อเรียก Grab Car แล้วให้แจ้งทะเบียนรถกับพนักงานโรงแรม Grab Car จะได้รับอนุญาตให้ขึ้นมารับได้
ระยะทางจากบานาฮิลล์ไปฮอยอัน ประมาณ 44 กิโลเมตร ค่าเดินทางโดย Grab Car ราคา 574,000 ดง ประมาณ 840 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที ก็มาถึงที่พักที่จองไว้ เราจองไว้ที่ An Hoi Town Homestay ราคา 360,000 ดง ประมาณ 520 บาท ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองเก่าฮอยอันประมาณ 400 เมตร สามารถเดินไปได้
An Hoi Town Homestay เป็นบ้านของครอบครัวคนเวียดนาม มีอัธยาศัยดีทั้งครอบครัว มีพ่อแม่ ลูกสาว และหลานตัวเล็กๆ 3 คน ให้ความรู้สึกเหมือนมาพักที่บ้านเพื่อน คนที่เป็นลูกสาวพูดภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างดี แนะนำสถานที่เที่ยวของฮอยอัน แนะนำร้านอาหาร โชว์ที่ต้องดูที่ฮอยอัน ทัวร์เรือกระด้ง และรถตู้กลับสนามบิน เราเลยจองรถตู้กลับสนามบินดานังกับทางที่พัก ในราคา 130,000 ดง/คน ประมาณ 200 บาท โดยรถตู้จะมารับที่ที่พักตามเวลาที่แจ้งไว้
ห้องพักที่จองไว้เป็นแบบเตียงเดี่ยว เตียงใหญ่ ภายในห้องพักมีทีวี เก้าอี้ โต๊ะ แอร์ และในห้องน้ำเป็นแบบชักโครก มีเครื่องทำน้ำอุ่น มีผ้าขนหนู
จากในซอยที่พักเดินตรงไปจะเจอกับถนนคนเดินฮอยอัน เลี้ยวซ้ายแล้วเดินข้ามสะพานไปก็จะเจอเมืองเก่าฮอยอัน ใกล้และสะดวกมาก
ข้ามสะพานไปก็จะเป็นเมืองเก่าฮอยอัน ช่วงที่เรามาถึงฝนเพิ่งหยุดตกไป นักท่องเที่ยวเริ่มทยอยออกมาเดินชมเมือง และเจอนักท่องเที่ยวคนไทยจำนวนมากมาเที่ยวที่ฮอยอันเช่นกัน
ฮอยอัน หรือ โห่ยอาน เป็นเมืองขนาดเล็กริมฝั่งทะเลจีนใต้ทางตอนกลางของประเทศเวียดนามได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลกจากองค์กร UNESCO ฮอยอันเป็นเมืองเก่าที่มีอาคารสีเหลืองมัสตาร์ด ประดับประดาด้วยโคมไฟหลากหลายสีสันรอบเมือง
เมืองฮอยอัน สวยมีเสน่ห์ยังคงอนุรักษ์ความเป็นเมืองเก่าแบบดั้งเดิมเอาไว้ เดินชมอาคารบ้านเรือนเก่าได้อย่างเพลิดเพลิน อาคารในเมืองเก่าเกือบทั้งหมดมีสีเหลืองมัสตาร์ด
เดินชมเมืองมาเรื่อยๆ จนมาเจอร้านอาหารท้องถิ่นร้านนึง มีลูกค้านั่งทานอาหารเต็มร้าน ที่ร้านขายอาหารท้องถิ่นเวียดนามอยู่หลายอย่าง เราลองสั่งมาทาน 2-3 อย่าง รสชาติอร่อยเลยทีเดียว ราคาอาหารจานละประมาณ 30,000 ดง
ในตอนค่ำ อากาศเย็นสบาย บรรยากาศครึกครื้นด้วยนักท่องเที่ยวที่ออกมาเดินเยอะกว่าตอนกลางวัน สีสันยามค่ำคืนที่ฮอยอัน สวยงามด้วยแสงไฟหลากสีที่ประดับประดาด้วยโคมไฟ และตอนเย็นมีตลาดถนนคนเดิน ซึ่งอยู่ฝั่งร้านอาหาร
มาเดินถนนคนเดินที่ฮอยอัน มีจุดเด่นตรงที่มีร้านขายโคมไฟอยู่หลายร้าน และเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปคู่กับโคมไฟ นอกจากนี้ยังมีอาหารท้องถิ่น ของที่ละลึก ของฝาก ให้ได้ช้อปปิ้ง
ร้านขายโคมไฟ หากถ่ายรูปอย่างเดียวไม่ได้ซื้อโคมไฟ เสียค่าถ่ายรูป 10,000 ดง (15 บาท)
จบทริปการเที่ยวเวียดนามที่เมืองฮอยอัน การมาเที่ยวเวียดนามในครั้งนี้ทำให้รู้ว่าเวียดนามเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีอะไรให้น่าค้นหา มีสถานที่สวยงาม และน่าท่องเที่ยวมากอีกประเทศหนึ่ง อาหารเวียดนามก็อร่อยหลายอย่าง เป็นอีกทริปที่ประทับใจ สนุก และอยากกลับมาเที่ยวเวียดนามอีกหลายครั้ง
ในเช้าวันรุ่งขึ้นรถตู้ที่จองไว้กับทางที่พักมารับเราเวลา 7.00 น. ตรงเวลา ใช้เวลาเดินทางไปสนามบินประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที รถตู้จะมาส่งที่อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ ต้องเดินไปที่อาคารภายนอกประเทศ ซึ่งไม่ได้ไกลกันมาก
ภาษาเวียดนามเบื้องต้นที่ควรรู้
xin chào (ซิน จ่าว) แปลว่า สวัสดี
cảm ơn (ก่าม เอิน) แปลว่า ขอบคุณ
xin lỗi (ซิน โหลย) แปลว่า ขอโทษ
vâng (เวิง) แปลว่า ใช่
không phải (คง ฝ่าย) แปลว่า ไม่ใช่
tôi là người Thái không biết tiếng việt ( โตย หล่า เหงื่อย ถาย คง เบี๊ยด เตี๋ยง เหวียด) แปลว่า ฉันเป็นคนไทยไม่เข้าใจภาษาเวียดนาม