ทริปนี้เดินทางไปเที่ยวที่ภูเก็ต 2 วัน 1 คืน ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์วันหยุดเสาร์อาทิตย์ ทริปนี้ไม่ได้เช่ารถ ใช้การเดินทางโดยรสบัสประจำทางจากสนามบินเข้าไปที่ตัวเมืองเก่าภูเก็ต เดินทางออกจากสนามบินดอนเมืองกรุงเทพฯ เที่ยวบิน 9.30 น. ไปถึงสนามบินภูเก็ตเวลา 10.50 น.

จากอาคารสนามบินภูเก็ตเมื่อเดินออกมาให้เดินออกไปทางด้านซ้ายมือจะมีรถบัสจอดอยู่ 2 คันคือคันสีฟ้าและคันสีส้ม รถบัสคันสีฟ้าจะวิ่งไปเส้นทางป่าตอง ส่วนรถบัสคันสีส้มจะวิ่งเส้นทางเข้าเมืองภูเก็ต

เราเลือกขึ้นรถบัสคันสีส้มเพื่อเข้าเมืองภูเก็ต โดยมีค่าโดยสาร 100 บาท แจ้งจุดลงรถกับพนักงานเอาไว้ว่าจะลงย่านเมืองเก่า จากสนามบินภูเก็ต เข้าเมืองภูเก็ตระยะทางค่อนข้างไกล ประมาณ 37 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ก็มาถึงที่ตัวเมืองเก่า รถบัสจะจอดตรงบริเวณซอยรมณีย์ ซึ่งเมื่อเดินทะลุซอยรมณีย์ไปก็จะเจอกับถนนถลาง ซึ่งเป็นถนนเส้นหลักของเมืองเก่าภูเก็ต เมื่อเราเดินไปเจอถนนถลางเดินไปทางซ้ายมืออีก 50 เมตรก็เจอโรงแรมที่พัก

ทริปนี้เราจองที่พักที่ถนนถลาง ชื่อ 99 Oldtown Boutique Guesthouse ซึ่งเป็นรูปแบบบ้านเก่าสไตล์ชิโนโปรตุกิสของคนพื้นเมืองภูเก็ต ด้านหน้าจะมีร้านขายเสื้อผ้าเครื่องประดับ เดินเข้าไปเช็คอินด้านใน จะมีค่ามัดจำกุญแจ 500 บาท ห้องพักของเราอยู่ชั้น 3 ตกแต่งในสไตล์แบบบ้านเก่าของคนภูเก็ต ห้องพักสะอาดสะอ้าน มีแอร์ โทรทัศน์ ตู้เย็น ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง เครื่องทำน้ำอุ่น มีห้องน้ำส่วนตัวภายในห้องพัก พร้อมสิ่งของอำนวยความสะดวกต่างๆ พื้นห้องเป็นไม้ปาเก้ ห้องพักจะไม่เก็บเสียงได้ยินเวลามีคนเดินหรือพูดคุยกัน และ มีแสงสว่างลอดเข้ามาทางหน้าต่างเพราะไม่มีม่านกันแสง

การมาเที่ยวภูเก็ตในครั้งนี้ของเราเป็นครั้งที่ 4 ครั้งก่อนๆ ไม่เคยพักในย่านเมืองเก่าภูเก็ต ครั้งนี้เลยมาพักในเมืองเก่าเพราะอยากมาสัมผัสวิถีชีวิตในแบบคนเมืองภูเก็ต และมีร้านอาหารอร่อยชื่อดังตั้งอยู่บริเวณนี้อยู่หลายร้านด้วยกัน เช่นร้านระย้า ร้านวันจันทร์ ร้านตู้กับข้าว ร้านโกเบ๊นซ์ข้าวต้มแห้ง ร้านขนมจีนป้ามัย ร้านพิเศษ ฯลฯ

เมื่อเก็บของไว้ในห้องพักเสร็จแล้ว ออกไปเดินเที่ยวเล่นและหาของกินในย่านเมืองเก่าภูเก็ต

เดินไปเรื่อยๆ จนไปถึงหัวถนนดีบุก เจอร้านขนมอาโป้งเจ้าดัง ซึ่งเป็นขนมพื้นถิ่นของคนภูเก็ต เลยแวะซื้อเพื่อลองชิมดูสักหน่อย ขนมอาโป้งเจ้านี้ขายที่ 7 ชิ้น 20 บาท มีลักษณะเป็นขนมที่ทำจากแป้งและกะทิ เอาไปจี่บางๆ กับกระทะเตาถ่าน แล้วนำขึ้นมาม้วนเป็นชิ้นๆ เมื่อขนมเริ่มเย็นลงจะกรอบบาง มีกลิ่นหอมของกะทิกับแป้ง อร่อยกินเพลินมาก

เพลิดเพลินกับการเดินชมเมืองและชมสถาปัตยกรรมของตึกเก่า บ้านเก่าสไตล์ชิโนโปรตุกิส ในย่านเมืองเก่า ย่านนี้มีตึกที่น่าสนใจและสถาปัตยกรรมที่สวยงาม และมีเสน่ห์ อยู่ทั่วบริเวณ

มื้อเที่ยงวันนี้เราตั้งใจจะไปกินขนมจีนภูเก็ตที่ร้านป้ามัย และไปกินชาเย็นแก้วยักษ์ที่ร้านพิเศษ ซึ่งอยู่บริเวณย่านเมืองเก่า เริ่มจากร้านป้ามัย ร้านมองเห็นเด่นชัด เราไปถึงที่ร้านเกือบบ่ายโมง ซึ่งร้านใกล้จะปิดแล้ว แต่ก็ยังมีน้ำยาให้เลือกอีกหลายอย่าง ขนมจีนของร้านป้ามัย มีผักเครื่องเคียงตั้งอยู่บนโต๊ะให้เลือกกินได้หลายอย่าง จานเด็ดคือห่อหมกภูเก็ต ในราคาห่อละ 20 บาท

ร้านต่อไปของเราคือร้านพิเศษ เป็นร้านอาหารและคาเฟ่ ซึ่งร้านนี้จะมีจุดเด่นตรงที่ชาเย็นแก้วยักษ์ มีโปะด้วยวิปปิ้งแล้วราดด้วยคาลาเมล ในราคาแก้วละ 150 บาท เทียบเท่าขนาดแก้วทั่วไปได้ 3 แก้ว อิ่มจนจุก ทาน 2 ร้านนี้เสร็จกลับไปนอนพักที่โรงแรม และออกมาในช่วงเย็นอีกครั้ง เพราะอากาศค่อนข้างร้อนมากในตอนกลางวัน

เราออกมาจากห้องพักในตอนเย็น เดินสำรวจรอบๆ เมืองเก่าไปเรื่อยๆ เป้าหมายมื้อเย็นวันนี้คือร้าน โกเบ๊นซ์ข้าวต้มแห้ง เจ้าดังของภูเก็ต สั่งข้าวต้มแห้งพิเศษมา 1 ชุดในราคา 70 บาท อร่อยสมเป็นร้านดังที่ควรมาลอง

ในช่วงเย็นเดินชมบรรยากาศเมืองเก่าภูเก็ตในยามค่ำคืน อากาศไม่ร้อน เดินเที่ยวเล่นได้สบายๆ และมีนักท่องเที่ยวออกมาเดินเล่นและถ่ายรูป

เช้าวันรุ่งขึ้น เดินออกไปกินโจ๊กที่ร้านข้าวต้มภูเก็ตซึ่งเป็นร้านเก่าแก่ของคนภูเก็ตเป็นมื้อเช้า เพราะจองที่พักแบบไม่ได้รวมอาหารเช้าเอาไว้ ร้านข้าวต้มภูเก็ตตั้งอยู่ใกล้ๆ กับแยกชาร์เตอร์ตึกสีเหลืองโดดเด่น ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่พัก

เมื่อทานอาหารเช้ารองท้องไปแล้ว วันนี้ตั้งใจจะไปกินขนมหวานชื่อ บิโกหมอย ซึ่งเป็นขนมของร้าน Torry ตั้งอยู่ในซอยรมณีย์ อยู่ใกล้กับโรงแรมที่พัก

บิโกหมอย เป็นอีกหนึ่งเมนูขนมหวานของคนภูเก็ต ชื่ออาจจะแปลกๆ หน่อย แต่จริงๆแล้ว บิโกหมอยก็คือข้าวเหนียวดำเปียก เป็นขนมหวานที่ทำมาจากข้าวเหนียวดำ นำไปต้มจนเปื่อย แล้วใส่น้ำตาลทราย รับประทานโดยราดน้ำกะทิข้นๆใส่เกลือเล็กน้อยให้พอมีรสเค็ม เพิ่มไอศครีมเข้าไปทำให้ขนมรสชาติหวานละมุนอร่อยลงตัว

ขนมหวานบิโกหมอย

จากนั้นเราก็ไปหากาแฟดื่มในย่านเมืองเก่า ซึ่งมีคาเฟ่อยู่หลายร้านให้เลือก แล้วก็กลับไปพักที่โรงแรม ก่อนจะเช็คเอ้าท์ออกและรับเงินมัดจำกุญแจคืน สถานที่ต่อไปที่จะไปคือคาเฟ่สีชมพู ย่านป่าตองชื่อ Cafe Phuket view point

จากย่านเมืองเก่าภูเก็ตไปที่ Cafe Phuket view point ป่าตอง เราใช้การเดินทางด้วย Grab ระยะทางจากเมืองเก่าประมาณ 15 กิโลเมตร เราเลือกการเดินทางโดยใช้ Grab Bike เพราะเดินทางคนเดียวและราคาถูกกว่า Grab Car ค่อนข้างเยอะ ค่าโดยสารทั้งหมด 186 บาท เส้นทางมาที่ร้าน Cafe Phuket view point จากหาดป่าตอง ร้านนี้ตั้งอยู่บนภูเขา มีวิวทะเลแบบพาโนรามา

รถ Grab Bike มาส่งถึงหน้าร้าน Cafe Phuket view point ตัวร้านจะมีโซนบริการอยู่ 2 ระดับ หากต้องการลงมาชมวิวด้านล่างที่มีมุมถ่ายรูป และชมวิวแบบพาโนรามา ต้องสั่งน้ำอย่างน้อย 1 แก้ว จึงจะสามารถลงมาใช้บริการในโซนด้านล่างได้ ร้านนี้เป็นอีกสถานที่ที่ทำให้รู้สึกประทับใจกับวิวของเกาะภูเก็ต เพราะวิวสวยมากจริงๆ

เราสั่งน้ำ 1 แก้ว และ สปาเก็ตตี้คาโบนาร่า ชุดนี้ราคาประมาณ 300 บาท แล้วนั่งชมบรรยากาศเพลินๆ ปิดทริปภูเก็ต 2 วัน 1 คืนที่ร้าน Cafe Phuket view point

ขากลับไปสนามบินภูเก็ต เราเดินทางโดยใช้บริการรถบัสคันสีฟ้าจากป่าตองไปสนามบิน ชื่อ ภูเก็ต สมาร์ท บัส (Facebook : https://www.facebook.com/PhuketSmartBus ) ในราคา 100 บาท โดยสอบถามเส้นทางผ่านแชทในเฟสบุ๊ค สอบถามเส้นทาง และเวลาที่รถจะมาถึง

จากหน้าร้าน Cafe Phuket view point สามารถแจ้งทางแชทกับแอดมินในเฟสบุ๊คของ ภูเก็ต สมาร์ท บัส ให้แจ้งคนขับแวะรับได้เพราะเป็นเส้นทางผ่านระหว่างหาดป่าตองไปสนามบินภูเก็ต การเดินทางไปสนามบินใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ ก็มาถึงที่สนามบินภูเก็ต

การมาเที่ยวอ่าวนาง จังหวัดกระบี่ ในทริปนี้เกิดจากตั๋วบุฟเฟต์แอร์เอเชียเป็นเหตุ สมัครบุฟเฟต์แอร์เอเชียไว้แล้ว จองตั๋วเครื่องบินไว้ล่วงหน้า โดยจ่ายค่าธรรมเนียมและภาษีสนามบิน ไปกลับเพียงแค่ 200 บาท และเพราะอ่าวนาง จังหวัดกระบี่เป็นเมืองที่น่าสนใจและมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายที่อยู่ใกล้และมีชื่อเสียง เช่น หาดนพรัตน์ธารา สุสานหอย 75 ล้านปี วัดถ้ำเสือ สระมรกต ท่าปอมคลองสองน้ำ วัดบางโทง หรือจะไปเที่ยวที่เกาะต่างๆ ก็มีเรือท้องถิ่นไว้คอยให้บริการมากมายให้เลือกจองซึ่งสะดวกมากสำหรับนักท่องเที่ยว

สาเหตุที่จองมากระบี่ 1 วัน 1 คืน เพราะในการจองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้าต้องกำหนดวันที่สามารถเดินทางได้แน่นอน ก็เลยจองตั๋วเครื่องบินให้ตรงกับช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยจองในเช้าวันเสาร์ มาถึงสนามบินกระบี่ในช่วงประมาณ 10.00 น. และกลับในวันอาทิตย์ช่วงบ่ายสองโมง ช่วงที่เดินทางมาเที่ยวเป็นช่วงต้นเดือนมีนาคม

เรามาถึงที่สนามบินกระบี่ในช่วงสิบโมงกว่าๆ เดินออกจากตัวอาคารมาเพื่อมาขึ้นรถบัสประจำทางไปอ่าวนาง เดินออกมารถจะจอดอยู่ที่ด้านหน้าอาคารสนามบิน ทริปนี้เป็นทริปสั้นๆ ก็เลยคิดว่าการไปพักและเที่ยวที่อ่าวนางน่าจะเที่ยวได้เพลิดเพลินกว่าพักในตัวเมืองกระบี่ เราเลยจองโรงแรมไว้ที่อ่าวนาง จองโดยใช้สิทธิเราเที่ยวด้วยกันของโครงการของรัฐบาล ได้ส่วนลด 40 %

รถบัสประจำทางสำหรับไปอ่าวนาง ราคา 150 บาท หากลงในเมืองกระบี่ราคา 90 บาท รถบัสจะรอผู้โดยสารจนเกือบเต็มคันถึงจะออกเดินทาง นั่งรออยู่เกือบชั่วโมงนิดๆ รถบัสก็เคลื่อนตัวออกจากสนามบิน รถบัสโดยสารอ่าวนางมีความพิเศษตรงที่ หากผู้โดยสารต้องการลงที่ไหน หรือ โรงแรมอะไร สามารถแจ้งรถบัสให้ไปส่งถึงสถานที่นั้นได้เลย ให้อารมณ์เหมือนนั่งแท็กซี่ประจำทาง โดยจะไปส่งผู้โดยสารที่เข้าไปในตัวเมืองกระบี่ก่อน และทยอยๆ ส่งผู้โดยสารตามโรงแรมต่าง ๆ ที่แจ้งไว้ก่อนขึ้นรถ จากสนามบินมาถึงโรงแรมใช้เวลาในการเดินทางประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็มาถึงที่พัก

โรงแรมที่พักในครั้งนี้ที่จองไว้คือ Kokotel Krabi Ao Nang เป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่หน้าถนนเส้นหลักของอ่าวนาง หากมาจากกระบี่จะอยู่ทางด้านขวามือ ห่างจากชายหาดประมาณ 1.5 กิโลเมตร เรามาถึงก่อนเวลาเช็คอินเข้าพักคือบ่ายสองโมง เลยยังเช็คอินไม่ได้ เลยสอบถามพนักงานโรงแรมเกี่ยวกับร้านเช่ารถมอเตอร์ไซด์ พร้อมฝากกระเป๋าไว้ที่หน้าเคาน์เตอร์ของโรงแรม

ร้านเช่ารถมอเตอร์ไซด์ตั้งอยู่ฝั่งซ้ายมือตรงข้ามกับโรงแรม ห่างไปประมาณ 200 เมตร เมื่อเจอร้านแล้วเข้าไปถามราคาเช่ารถ สรุปได้ว่า ค่าเช่ารถคิดวันละ 200 บาท มีค่าประกันเก็บไว้ 3,000 บาท พร้อมวางบัตรประชาชนไว้เป็นหลักฐาน เนื่องจากเจ้าของร้านอัธยาศัยดี บริการดี และให้ความมั่นใจได้ว่าข้อมูลบัตรประชาชนของเราจะปลอดภัย เราเลยตัดสินใจเช่ามอเตอร์ไซด์ที่ร้านนี้ ทางร้านเขียนสัญญาเช่าชัดเจน และให้เอกสารเก็บไว้เป็นหลักฐานในวันที่มาคืนรถ

เมื่อเช่ารถมอเตอร์ไซด์ได้แล้ว ระหว่างที่รอเวลาในการเช็คอิน เราขับรถเรียบหาดอ่าวนางไปที่หาดนพรัตน์ธารา ที่ชายหาดนพรัตน์ธารา มีนักท่องเที่ยวมาพักผ่อนหย่อนใจเยอะพอสมควร มีทั้งชาวต่างชาติและคนไทย อากาศที่ชายหาดปลอดโปร่ง เราเดินไปสำรวจรถขายอาหารที่มาจอดอยู่บริเวณหน้าหาด แล้วซื้อปลาหมึกทอด และปลากระเบนทอด 2 อย่าง 100 บาท มากิน แต่ไม่ชื่นชอบรสชาติสักเท่าไหร่

นั่งพักที่ชายหาดอยู่พักหนึ่ง เรากลับไปที่โรงแรมเพื่อเช็คอินเข้าพัก ห้องพักที่ได้อยู่ชั้น 2 เป็นวิวภูเขา เมื่อเข้าไปในห้องพัก ห้องดูสะอาดตา แต่เมื่อถอดรองเท้าเดินบนพื้นเหมือนมีทราย และเศษผม จึงได้แจ้งพนักงานไป สักครู่นึงก็มีแม่บ้านถือไม้กวาดมากวาดทรายและเศษผมออกไป ห้องที่เราร้องขอเข้าพักตอนจองห้องคือห้องเตียงเดี่ยว แต่ห้องที่ได้รับเป็นห้อง 1 เตียงใหญ่ และ 1 เตียงเล็ก ทำให้รู้สึกไม่ประทับใจในการเข้าพักในครั้งนี้กับโรงแรมนี้เท่าที่ควร

นั่งพักผ่อนในห้อง และเริ่มอ่านรีวิวเพื่อหาร้านอาหารในอ่าวนาง เราเลยตัดสินใจไปที่ร้านอาหาร Thehilltop ซึ่งเป็นร้านที่สามารถชมวิวพระอาทิตย์ตกดินมุมสูงได้สวยอีกแห่งหนึ่งของอ่าวนาง

จากโรงแรมที่พักไปร้านอาหาร Thehilltop ขับมอเตอร์ไซด์เรียบชายหาดไปเรื่อยๆ ตาม GPS ทางเข้าร้านเป็นทางเข้าเดียวกับทางไปโรงยิมมวย ขึ้นไปบนภูเขา ทางค่อนข้างชันนิดหน่อย

เราไปถึงที่ร้านอาหารเกือบ ๆ ห้าโมงเย็น เป็นลูกค้าคนเดียวในช่วงเวลาตอนนั้น เพราะยังมีแสงแดดจ้า ลูกค้าของร้านเริ่มทยอยมาเยอะขึ้นๆ ในช่วงเกือบหกโมงเย็นเพื่อมาชมพระอาทิตย์ตกดิน เมื่อทานอาหารเสร็จแล้ว พนักงานเดินมาพูดคุยด้วย และแนะนำให้ไปนั่งในจุดที่สามารถชมพระอาทิตย์ตกดินได้วิวสวย ทำให้ประทับใจในการบริการของพนักงานที่ร้าน และวิวพระอาทิตย์ตกดินที่ร้านนี้ก็สวยประทับใจ

หลังจากชมพระอาทิตย์ตกดินจนพอใจแล้ว เราขับรถมอเตอร์ไซด์มาจอดไว้บริเวณชายหาดอ่าวนาง และเดินเที่ยวบริเวณถนนคนเดินอ่าวนาง หลังจากพระอาทิตย์ตกดิน น้ำทะเลที่ชายหาดลดลงไปอย่างเห็นได้ชัดซึ่งแตกต่างกับตอนกลางวันที่น้ำทะเลเต็มหาด สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจของทะเลที่นี่คือทะเลมีลักษณะไม่เหมือนกันในแต่ละช่วงเวลา เมืองอ่าวนางในยามค่ำคืน มีสีสัน และครึกครื้นไปด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติ

เช้าวันอาทิตย์เราตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อมารอชมพระอาทิตย์ขึ้น น้ำทะเลยังคงลดระดับอยู่ในเช้านี้ มีหลายๆคน มาวิ่งออกกำลังกายที่ชายหาด หาดที่อ่าวนางเป็นหาดดินทรายแน่นๆ วิ่งได้สบาย เรามาชมพระอาทิตย์ขึ้นที่หาดอ่าวนาง แต่ก็ไม่เห็นมีท่าทีที่พระอาทิตย์จะขึ้น ก็เลยขับมอเตอร์ไซด์ไปที่หาดนพรัตน์ธารา ตรงหาดนพรัตน์ธาราน้ำทะเลก็ลดระดับลงเช่นกัน จนทำให้สามารถเดินไปยังเกาะที่ใกล้ๆ ตรงนั้นได้ การมาชมพระอาทิตย์ขึ้นตรงหาดนพรัตน์ธาราไม่ผิดหวังเลย เพราะเป็นจุดที่พระอาทิตย์ขึ้นที่สวย และน่าประทับใจ ด้วยวิวภูเขาสลับซับซ้อนๆ ของอ่าวนาง ชมพระอาทิตย์เพลินๆ จนเกือบแปดโมงเช้า และกลับมาโรงแรมเพื่อกินมื้อเช้า

เช้าวันอาทิตย์วันนี้มีเวลาจนถึงตอนเที่ยง ตอนแรกเราตั้งใจว่าจะไปที่สระมรกตในเช้านี้ แต่ระยะทางไปที่สระมรกตประมาณ 70 กิโลเมตร ซึ่งทำให้เวลากระชั้นชิดจนเกินไป เลยเปลี่ยนแผนไปที่สุสานหอย 75 ล้านปีแทน ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก ประมาณ 7 กิโลเมตร

สุสานหอย 75 ล้านปี เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดกระบี่ เป็นสถานที่ที่มีซากหอยดึกดำบรรพ์นับล้านๆ ตัว ถูกทับถมจนกลายเป็นแผ่นหิน ซึ่งบ่งบอกที่มาของธรณีวิทยาที่วิวัฒนาการที่มาของโลกใบนี้ ในการเข้าชมสุสานหอยมีค่าธรรมเนียม 40 บาท จ่ายให้กับอุทยาน สุสานหอยแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ดูเหมือนไม่มีอะไรให้ชื่นชม แต่เมื่อมาเพื่อเรียนรู้ เพื่อศึกษา และมาเห็นซากดึกดำบรรพ์ของหอยจำนวนหลายล้านๆ ตัว ที่ผ่านมาแล้ว 75 ล้านปี ทับถมกัน จนเป็นแผ่นหินหนาได้ขนาดนี้ จะรู้สึกทึ่ง และภาคภูมิใจที่ดินแดนแห่งนี้ก่อกำเหนิดมีมาเนิ่นนานแล้ว และเป็นสิ่งสำคัญทางธรณีวิทยาของโลกที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย

เยี่ยมชมสุสานหอยเสร็จแล้ว เรากลับมาพักที่โรงแรม ก่อนจะเอารถมอเตอร์ไซด์ไปเติมน้ำมันให้เท่าปริมาณเดิมในตอนที่รับรถมา และเอารถมอเตอร์ไซด์ไปคืนที่ร้าน ทางร้านคืนเงินประกัน 3,000 บาท พร้อมบัตรประชาชนคืนมา

หลังจากเช็คเอาท์ออกจากโรงแรม นั่งรอรถโดยสารมารับไปสนามบิน ขากลับไปสนามบินเป็นรถตู้มารับ ซึ่งเป็นบริษัทเดียวกับรถบัสโดยสารอ่าวนาง สามารถโทรไปตามเบอร์โทรบนตั๋วโดยสารได้เลย และแจ้งเวลา สถานที่ ให้รถมารับ ซึ่งสะดวกดีมาก ในราคา 150 บาท

ขากลับจากอ่าวนางเดินทางไปสนามบิน จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

การมาเที่ยวที่อ่าวนาง นอกจากนั่งรถบัสโดยสารแล้ว ก็มีรถสองแถวโดยสาร วิ่งรับส่งให้บริการระหว่างตัวเมืองกระบี่มายังอ่าวนาง และมีรถมอเตอร์ไซด์พ่วงข้าง สำหรับเที่ยวในอ่างนางเช่นกัน หากไม่ได้เช่ารถขับไว้ แต่ราคาอาจจะต้องต่อรองกับคนให้บริการ

ถนนข้าวสาร เป็นสถานที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติซึ่งแน่นขนัดไปด้วยแดนซ์คลับและบาร์กลางแจ้งอันพลุกพล่าน เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่คึกคักในยามค่ำคืนของย่านบางลำพู เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 9.00 – 24.00 น. ถนนข้าวสารเป็นถนนในท้องที่แขวงตลาดยอด เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร มีระยะทางเริ่มตั้งแต่ถนนจักรพงษ์หน้าวัดชนะสงครามไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงถนนตะนาวใกล้สี่แยกคอกวัว

การเดินทางมาที่ถนนข้าวสารด้วยเรือด่วนเจ้าพระยา

นั่งเรือโดยสารเรือด่วนเจ้าพระยา มาลงที่ท่าเรือ ท่าพระอาทิตย์ แล้วเดินออกไปยังถนน จากนั้นให้เดินไปทางด้านขวามือ แล้วข้ามถนนเดินเข้าไปในซอยชนะสงคราม เดินไปจนถึงท้ายซอยแล้วเลี้ยวซ้ายแล้วเดินเรียบกำแพงวัดชนะสงครามไปเรื่อยๆ บริเวณนี้ก็จะเป็นย่านถนนข้าวสาร จะเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติมากมายนั่งอยู่หน้าร้านอาหาร

การนั่งเรือด่วนเจ้าพระยามาลงที่ท่าเรือพระอาทิตย์นอกจากไปถนนข้าวสารแล้ว สามารถไปที่วัดชนะสงคราม และวัดบวรนิเวศวิหาร เพราะอยู่ในระแวกเดียวกัน